23 จำนวนผู้เข้าชม |
เปิดเทอมแล้ว ลูกไม่นิ่ง รอคอยไม่ได้ ไม่ฟังคำสั่งครู
เปิดเทอมใหม่เป็นช่วงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่หลายท่านต่างคาดหวังให้ลูกรักสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ในโรงเรียนได้ แต่สำหรับบางครอบครัวแล้ว กลับต้องเผชิญกับความกังวลใจ เมื่อได้รับแจ้งจากคุณครูว่า "น้องไม่นิ่งเลยค่ะ" "รอคอยทำกิจกรรมกับเพื่อนไม่ได้" หรือ "ไม่ค่อยฟังคำสั่ง" พฤติกรรมเหล่านี้อาจไม่ใช่แค่ความซนตามวัย แต่เป็นสัญญาณของความต้องการบางอย่างที่ร่างกายของเด็กๆ ค่ะ
ลูกไม่นิ่ง อยู่ไม่สุข คืออะไร?
อาการที่เด็กไม่สามารถควบคุมตัวเองให้อยู่นิ่งได้นานพอที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วง มีลักษณะที่สังเกตได้ชัดเจนทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน ซึ่งมักจะแสดงออกผ่านพฤติกรรมต่างๆ ดังนี้
- เด็กจะยุกยิก อยู่ไม่สุข นั่งบิดไปมา โยกเก้าอี้ หรืออาจจะลุกเดินไปมาในห้องเรียนขณะที่คุณครูกำลังสอน
- รอคอยไม่ได้ ไม่ชอบการรอคิวทำกิจกรรมต่างๆ เช่น รอรับอาหารกลางวัน รอเล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น หรือแม้กระทั่งรอให้ถึงตาของตัวเองในการตอบคำถาม มักจะพูดแทรก หรือหงุดหงิดเมื่อต้องรอ
- ไม่ฟังคำสั่ง/ทำตามได้ไม่ต่อเนื่อง ไม่ตั้งใจฟังเมื่อมีคนพูดด้วย หรือรับคำสั่งได้ แต่ทำตามได้เพียงขั้นตอนแรกแล้วก็วอกแวกไปสนใจสิ่งอื่นก่อนที่จะทำภารกิจเสร็จ
- ชอบรื้อค้นสิ่งของในห้องเรียนหรือที่บ้านโดยไม่มีวัตถุประสงค์ อาจเล่นกับเพื่อนแรงเกินไปโดยไม่ตั้งใจ เพราะไม่สามารถกะแรงของตนเองได้
ยกตัวอย่างเช่นในห้องเรียน ขณะที่คุณครูเล่านิทาน เด็กคนอื่นๆ นั่งฟังอย่างตั้งใจ แต่น้อง กลับลุกจากเก้าอี้ เดินไปหยิบของเล่นที่ชั้นมาเล่นเสียงดัง หรือระหว่างที่เพื่อนๆ กำลังระบายสี ก็ระบายสีออกนอกกรอบ แล้ววิ่งไปรอบๆ ห้อง ชวนเพื่อนคุย ทำให้เพื่อนคนอื่นไม่มีสมาธิไปด้วย
ผลกระทบที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
- เด็กอาจเรียนรู้ได้ไม่เต็มศักยภาพ เพราะไม่มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ครูสอน ทำให้เรียนไม่ทันเพื่อน และอาจส่งผลให้ไม่อยากไปโรงเรียน
- การเล่นแรงหรือการไม่ทำตามกติกา อาจทำให้เพื่อนไม่อยากเล่นด้วย เด็กอาจถูกมองว่าเป็นตัวปัญหาและรู้สึกแปลกแยกจากกลุ่ม
ทำความเข้าใจที่มาของปัญหาผ่านระบบ Sensory Integration
ในทางกิจกรรมบำบัด เรามองว่าพฤติกรรมเหล่านี้มักมีรากฐานมาจาก การบูรณาการประสาทความรู้สึก (Sensory Integration หรือ SI) ที่ทำงานได้ไม่สมดุล โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบที่เรียกว่า Proprioceptive System
ระบบ Proprioceptive คือระบบประสาทรับความรู้สึกจากกล้ามเนื้อและข้อต่อ มีหน้าที่บอกสมองว่าขณะนี้ส่วนต่างๆ ของร่างกายกำลังเคลื่อนไหวอย่างไร อยู่ในท่าทางไหน โดยที่เราไม่ต้องมอง เช่น เราสามารถยกมือขึ้นมาเกาจมูกได้โดยไม่ต้องใช้กระจก ระบบนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการวางแผนการเคลื่อนไหว (Motor Planning) การควบคุมร่างกาย และการรับรู้ตนเอง (Body Awareness)
เมื่อระบบนี้ทำงานผิดปกติ สมองของเด็กจะ "แสวงหา (Seeking)" หรือ ต้องการการกระตุ้นที่รุนแรงและหนักหน่วงกว่าเด็กทั่วไป เพื่อให้รู้สึกว่าร่างกายของตนเองอยู่ที่ไหน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กต้อง วิ่ง กระโดด ชน ปีนป่าย หรือเล่นแรงๆ เพื่อส่งสัญญาณที่หนักแน่นกลับไปยังสมองให้รับรู้ เด็กไม่ได้ตั้งใจจะซนหรือก่อกวน แต่ร่างกายกำลังพยายามหาทาง "เติมเต็ม" ความรู้สึกที่ขาดหายไปนั่นเองค่ะ
แก้ไขได้อย่างไรด้วย "กิจกรรมบำบัด"
การแก้ไขปัญหานี้ให้ตรงจุด คือการช่วยให้สมองของเด็กสามารถประมวลผลและบูรณาการความรู้สึกต่างๆ ได้ดีขึ้น ซึ่ง "กิจกรรมบำบัด" คือคำตอบที่เหมาะสมที่สุดค่ะ
นักกิจกรรมบำบัดจะทำการประเมินและออกแบบโปรแกรมการฝึกที่จำเพาะสำหรับเด็กแต่ละคน โดยใช้กิจกรรมที่สนุกสนานและท้าทาย เป็นตัวกระตุ้นให้ระบบประสาทต่างๆ โดยเฉพาะ Proprioceptive System ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือที่เรียกว่า "การปรับ Sensory Integration"
ตัวอย่างกิจกรรมที่นักกิจกรรมบำบัดมักใช้ในการช่วยเหลือเด็กๆ
- กิจกรรมที่ใช้แรง (Heavy Work) เช่น การเข็นของหนักๆ การลากตะกร้า การปั้นดินน้ำมันเนื้อแข็ง การหิ้วของ การชักเย่อ ซึ่งจะช่วยส่งข้อมูลความรู้สึกเข้าสู่กล้ามเนื้อและข้อต่อโดยตรง ทำให้สมองรับรู้ร่างกายได้ดีขึ้นและสงบลง
- การปีนป่ายอุปกรณ์ในสนามเด็กเล่น หรือเครื่องเล่นที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ จะช่วยกระตุ้นการรับรู้ข้อต่อและการวางแผนการเคลื่อนไหว
- การเล่นในบ่อบอล หรือการใช้ผ้ารัดตัว เพื่อให้เด็กได้รับการกระตุ้นผ่านการกดทับลึกๆ (Deep Pressure) ซึ่งช่วยให้เด็กรู้สึกสงบและผ่อนคลาย
การฝึกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เด็กรู้จักร่างกายตัวเองมากขึ้น สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ส่งผลให้ความต้องการในการเคลื่อนไหวตลอดเวลาลดลง และมีความพร้อมในการเรียนรู้และทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นมากขึ้นค่ะ
หากปล่อยไว้...จะเกิดอะไรขึ้น?
หากพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้รับการช่วยเหลือและแก้ไขอย่างถูกวิธี อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการในระยะยาว และอาจเป็นอาการร่วมของภาวะต่างๆ ที่ซับซ้อนขึ้นได้ เช่น
- โรคสมาธิสั้น (ADHD - Attention Deficit Hyperactivity Disorder) ซึ่งมีลักษณะเด่นคือ ขาดสมาธิ (Inattention) อยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity) และหุนหันพลันแล่น (Impulsivity)
- ความบกพร่องในการประสานงานของร่างกาย (DCD - Developmental Coordination Disorder) หรือที่เรียกว่า "เด็กซุ่มซ่าม" มีปัญหาในการวางแผนและควบคุมการเคลื่อนไหว
- ปัญหาสุขภาพจิต เด็กอาจประสบกับความล้มเหลวซ้ำๆ จนเกิดเป็นความรู้สึกไม่มั่นใจในตนเอง (Low Self-Esteem) และอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลได้ในอนาคต
ดังนั้น การสังเกตและให้ความช่วยเหลือตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งค่ะ
การที่ลูกไม่นิ่ง รอคอยไม่ได้ และไม่ทำตามคำสั่ง อาจไม่ใช่แค่ความดื้อ แต่เป็นสัญญาณจากร่างกายที่ต้องการความช่วยเหลือในการบูรณาการระบบประสาทความรู้สึกให้ทำงานอย่างสมดุล การทำความเข้าใจที่มาของปัญหาผ่านทฤษฎี Sensory Integration และการเข้ารับการดูแลจากนักกิจกรรมบำบัด คือแนวทางที่จะช่วยให้ลูกสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น มีสมาธิพร้อมที่จะเรียนรู้ และใช้ชีวิตในโรงเรียนได้อย่างมีความสุข หากคุณพ่อคุณแม่กำลังเผชิญกับปัญหานี้ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการช่วยเหลือลูกรักให้เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพค่ะ
หากคุณพ่อ คุณแม่กังวลว่าลูกกำลังมีปัญหาระบบบูรณาการประสาทรับความรู้สึก ไม่นิ่ง ไฮเปอร์ รอคอยไม่ได้ พฤติกรรมรุนแรง ก้าวร้าว ชอบปีนป่าย ซนเกินวัย เข้าข่ายสมาธิสั้น จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต สามารถปรึกษา Growing Smart Clinic โทร 083-806-1418 หรือ เพื่อรับคำแนะนำ นัดหมายประเมินพัฒนาการ และสามารถเริ่มต้นการฝึกกระตุ้นและส่งเสริม แก้ไขปัญหาพัฒนาการ เพื่อให้เด็กๆ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขทั้งที่บ้าน และโรงเรียน ในสังคมภายนอกค่ะ