Sensory Integration บูรณาการประสาทสัมผัส

1375 จำนวนผู้เข้าชม  | 

Sensory Integration บูรณาการประสาทสัมผัส

Sensory Integration รากฐานสำคัญสู่พัฒนาการที่สมบูรณ์ของเด็กๆ

Sensory Integration (SI) หรือบูรณาการประสาทรับความรู้สึก คือ กระบวนการที่สมองของเราทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลจากประสาทสัมผัสทั้ง 7 ซึ่งเปรียบเสมือน "ประตู" ที่เปิดรับข้อมูลจากโลกภายนอก เพื่อให้ร่างกายสามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมค่ะ

ประสาทสัมผัสทั้ง 7 ได้แก่


การมองเห็น (Visual) รับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว เช่น สี รูปร่าง ขนาด ระยะทาง การเคลื่อนไหว แสงเงา
ตัวอย่าง เด็กมองเห็นลูกบอลกลิ้งเข้ามา มองเห็นสีของลูกบอล ขนาด และทิศทางการเคลื่อนที่

การได้ยิน (Auditory) รับรู้เสียงต่างๆ เช่น เสียงพูดคุย เสียงเพลง เสียงสัตว์ เสียงธรรมชาติ เสียงดัง-เบา
ตัวอย่าง เด็กได้ยินเสียงแม่เรียก ได้ยินเสียงเพลง ได้ยินเสียงรถยนต์

การรับรส (Gustatory) รับรู้รสชาติของอาหาร เช่น หวาน เค็ม เปรี้ยว ขม เผ็ด
ตัวอย่าง เด็กได้รับรสชาติของอาหาร เช่น รสหวานของขนม รสเค็มของกับข้าว

การได้กลิ่น (Olfactory) รับรู้กลิ่นต่างๆ เช่น กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น กลิ่นอาหาร กลิ่นดอกไม้
ตัวอย่าง เด็กได้กลิ่นหอมของดอกไม้ ได้กลิ่นอาหาร ได้กลิ่นน้ำหอม

การสัมผัส (Tactile) รับรู้สัมผัสทางผิวหนัง เช่น นุ่ม แข็ง ร้อน เย็น เปียก แห้ง
ตัวอย่าง เด็กสัมผัสผ้าห่มนุ่มๆ สัมผัสพื้นผิวที่ขรุขระ สัมผัสน้ำเย็นๆ

การรับรู้ตำแหน่งของร่างกาย (Proprioception) รับรู้ตำแหน่งของร่างกายในอวกาศ แม้มองไม่เห็น เช่น รู้ว่าแขนขาอยู่ตรงไหน กำลังงอหรือเหยียดอยู่ ใช้แรงมากน้อยแค่ไหน
ตัวอย่าง เด็กยกแขนขึ้น รู้ว่าแขนอยู่เหนือศีรษะ เด็กบีบดินน้ำมัน รู้ว่าต้องใช้แรงแค่ไหน

การทรงตัว (Vestibular) รับรู้การเคลื่อนไหว การทรงตัว และทิศทางของศีรษะ เช่น รู้ว่ากำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ถอยหลัง หรือหมุนตัว
ตัวอย่าง เด็กนั่งบนชิงช้า รู้ว่ากำลังแกว่งไปมา เด็กลุกขึ้นยืน รู้ว่าตัวเองกำลังทรงตัวอยู่

เมื่อสมองได้รับข้อมูลจากประสาทรับความรู้สึกทั้ง 7 แล้ว จะทำการประมวลผล แปลความหมาย และจัดระเบียบข้อมูล จากนั้นจึงสั่งการให้ร่างกายตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม เช่น เมื่อเด็กเห็นลูกบอลกลิ้งเข้ามา (การมองเห็น) สมองจะประมวลผล และสั่งการให้เด็กเอื้อมมือไปรับลูกบอล (การเคลื่อนไหว) หลบลูกบอล หรือวิ่งตามลูกบอล

SI ส่งผลต่อพัฒนาการเด็กอย่างไร?

1. พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว (Motor Development) : SI ช่วยให้เด็กควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้คล่องแคล่ว แม่นยำ และมีประสิทธิภาพ เช่น

- การทรงตัว (Balance) : การทรงตัวที่ดี ช่วยให้เด็กรักษาสมดุลของร่างกายได้ ไม่ล้มง่าย เช่น เดิน วิ่ง กระโดด ปีนป่าย ยืนขาเดียวปัญหาที่อาจพบ: เดินเซ วิ่งชนสิ่งของ ล้มบ่อย กลัวความสูง ไม่ชอบเล่นเครื่องเล่นสนาม
- การประสานงานของกล้ามเนื้อมัดใหญ่-เล็ก (Gross and Fine Motor Coordination) : การประสานงานที่ดี ช่วยให้เด็กใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น แขน ขา ในการเคลื่อนไหวร่างกาย และใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก เช่น มือ นิ้ว ในการทำงานที่ละเอียดอ่อน เช่น เล่นกีฬา ขี่จักรยาน วาดรูป เขียนหนังสือ ปั้นดินน้ำมัน ต่อบล็อกปัญหาที่อาจพบ: เขียนหนังสือไม่สวย ระบายสีออกนอกเส้น จับดินสอไม่ถนัด ใช้กรรไกรไม่คล่อง เล่นกีฬาไม่เก่ง
- การวางแผนการเคลื่อนไหว (Motor Planning) : การวางแผนการเคลื่อนไหวที่ดี ช่วยให้เด็กคิด และลำดับขั้นตอนการเคลื่อนไหวเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างราบรื่น เช่น แต่งตัว รับประทานอาหาร แปรงฟันปัญหาที่อาจพบ: แต่งตัวช้า ใส่เสื้อผ้ากลับด้าน ติดกระดุมไม่ได้ ผูกเชือกรองเท้าไม่เป็น กินข้าวหกเลอะเทอะ


2. พัฒนาการด้านการเรียนรู้ (Cognitive Development) : SI เป็นรากฐานสำคัญของทักษะการเรียนรู้ เพราะการประมวลผลข้อมูลทางประสาทสัมผัสอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้เด็ก

- จดจ่อกับการเรียน (Attention) : ไม่วอกแวกง่าย สามารถเพ่งความสนใจไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้นานขึ้น เช่น ตั้งใจฟังครูสอน ทำแบบฝึกหัด 
ปัญหาที่อาจพบ : สมาธิสั้น ไม่มีสมาธิ วอกแวกง่าย สนใจสิ่งเร้ารอบข้างมากกว่าบทเรียน


- แยกแยะสิ่งเร้า (Discrimination) : แยกแยะเสียง ตัวอักษร ตัวเลข รูปทรง สี sắc ได้อย่างถูกต้อง เช่น แยกแยะเสียง "บ" กับ "ป" แยกแยะตัวเลข "6" กับ "9"
ปัญหาที่อาจพบ : สับสนตัวอักษร ตัวเลข รูปทรง อ่านหนังสือผิด เขียนหนังสือกลับด้าน

- เข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัว (Comprehension) : เรียนรู้ จดจำ และเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ได้ดีขึ้น เช่น เข้าใจความหมายของคำ เข้าใจเนื้อหาบทเรียน
ปัญหาที่อาจพบ : เรียนรู้ช้า จดจำได้ไม่นาน ไม่เข้าใจบทเรียน


3. พัฒนาการด้านอารมณ์และพฤติกรรม (Social-Emotional and Behavioral Development) : เด็กที่มีปัญหา SI อาจแสดงพฤติกรรมต่างๆ เช่น

- ก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย (Aggression and Irritability) : เนื่องจากรู้สึกไม่สบายตัว วิตกกังวล หรือรับมือกับสิ่งเร้าต่างๆ ไม่ไหว เช่น เสียงดัง แสงจ้า คนเยอะ
- วิตกกังวล กลัว (Anxiety and Fear) : เช่น กลัวเสียงดัง กลัวการสัมผัส กลัวที่แคบ กลัวสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
- สมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder - ADHD) : เนื่องจากสมองไม่สามารถกรองสิ่งเร้าที่ไม่จำเป็นออกไปได้ ทำให้เด็กวอกแวกง่าย อยู่ไม่นิ่ง
- ไวต่อสิ่งเร้า (Sensory Sensitivity) : เช่น รำคาญเสียง แสง กลิ่น สัมผัส ที่คนอื่นไม่รู้สึก เช่น รำคาญเสียงเครื่องปรับอากาศ รำคาญแสงไฟ
- ถอนตัว ไม่เข้าสังคม (Social Withdrawal) : เนื่องจากรู้สึกไม่ปลอดภัย หรือรับมือกับสิ่งเร้าในสังคมไม่ไหว เช่น ไม่ชอบไปโรงเรียน ไม่ชอบเล่นกับเพื่อน


ในทางกลับกัน SI ที่ดีจะช่วยให้เด็กๆ มีสิ่งเหล่านี้

- รู้สึกมั่นคงทางอารมณ์ (Emotional Regulation) : ควบคุมอารมณ์ได้ดี ไม่หงุดหงิดง่าย มีความมั่นใจในตัวเอง
- ควบคุมตัวเองได้ดี (Self-Control) : รู้จักรอคอย อดทน ปฏิบัติตามกฎระเบียบ
- มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมได้อย่างเหมาะสม (Social Skills) : เข้ากับเพื่อน แบ่งปัน ร่วมมือ เล่นกับผู้อื่นได้


4. พัฒนาการด้านการใช้ชีวิตประจำวัน (Activities of Daily Living - ADL) : SI ช่วยให้เด็กสามารถจัดการตัวเองในชีวิตประจำวันได้อย่างอิสระ เช่น

- การแต่งตัว (Dressing) : ใส่เสื้อผ้า ติดกระดุม ผูกเชือกรองเท้า
ปัญหาที่อาจพบ : แต่งตัวช้า ใส่เสื้อผ้ากลับด้าน ติดกระดุมไม่ได้ ผูกเชือกรองเท้าไม่เป็น ไม่ชอบใส่เสื้อผ้าบางชนิด

- รับประทานอาหาร (Eating) : ใช้ช้อนส้อม เคี้ยวอาหาร กลืนอาหาร
ปัญหาที่อาจพบ : กินข้าวหกเลอะเทอะ กินอาหารช้า เลือกกิน ไม่ชอบอาหารบางชนิด

- อาบน้ำ (Bathing) : สระผม ถูสบู่ เช็ดตัว
ปัญหาที่อาจพบ : กลัวน้ำ ไม่ชอบสระผม ไม่ชอบสบู่

- ขับถ่าย (Toileting) : เข้าห้องน้ำ ควบคุมการขับถ่าย
ปัญหาที่อาจพบ : กลัวการขับถ่าย ไม่ยอมเข้าห้องน้ำ

หากคุณพ่อ คุณแม่กังวลว่าลูกกำลังมีปัญหาระบบบูรณาการประสาทรับความรู้สึก จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตหรือส่งผลกระทบต่อการเรียน สามารถปรึกษา Growing Smart Clinic โทร 083-806-1418 หรือ เพิ่มเพื่อน เพื่อรับคำแนะนำ นัดหมายประเมินพัฒนาการ และสามารถเริ่มต้นการฝึกกระตุ้นและส่งเสริม แก้ไขปัญหาพัฒนาการ เพื่อให้เด็กๆ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขทั้งที่บ้าน และโรงเรียน ในสังคมภายนอกค่ะ

อ้างอิงผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

Ayres, A. J. (1972). Sensory integration and learning disorders. Los Angeles: Western Psychological Services. Dr. A. Jean Ayres นักกิจกรรมบำบัด ผู้บุกเบิกทฤษฎี SI ได้ศึกษาและอธิบายถึงความเชื่อมโยงระหว่าง SI กับปัญหาการเรียนรู้ และพัฒนาแนวทางการบำบัดเพื่อช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหา SI
Parham, L. D., Roley, S. S., May-Benson, T. A., Koomar, J., Brett-Green, B., Burke, J. P., ... & Blanche, E. I. (2007). Development of a fidelity measure for research on the effectiveness of sensory integration intervention. American Journal of Occupational Therapy, 61(2), 189-199. งานวิจัยนี้มุ่งเน้นพัฒนาเครื่องมือวัดประสิทธิภาพของการบำบัด SI เพื่อให้การวิจัยเป็นไปอย่างมีมาตรฐาน และนำไปสู่การพัฒนาแนวทางการบำบัดที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
Schaaf, R. C., Miller, L. J., Schoen, S. A., & Roley, S. S. (2010). Sensory processing disorders in children. In S. Goldstein & C. R. Reynolds (Eds.), Handbook of neurodevelopmental and genetic disorders in children (pp. 642-670). New York: Guilford Press. หนังสือเล่มนี้รวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับปัญหาการประมวลผลทางประสาทสัมผัสในเด็ก ครอบคลุมตั้งแต่ทฤษฎี ลักษณะอาการ การประเมิน และแนวทางการบำบัด
Miller, L. J., Anzalone, M. E., Lane, S. J., Cermak, S. A., & Osten, E. T. (2007). Concept evolution in sensory integration: A proposed nosology for diagnosis. American Journal of Occupational Therapy, 61(2), 135-140. งานวิจัยนี้เสนอแนวคิดในการวินิจฉัยปัญหา SI โดยเน้นการประเมินพฤติกรรม และผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก เพื่อให้การวินิจฉัยมีความแม่นยำ และตรงกับปัญหาของเด็กแต่ละคนมากขึ้น    
 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้