30 จำนวนผู้เข้าชม |
ทำไมลูกเล่นแรง? เป็นเพราะอะไร? และพ่อแม่ควรรับมืออย่างไรดี?
คุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงเคยหนักใจและกังวลกับพฤติกรรม "เล่นแรง" ของลูก ไม่ว่าจะโดนคุณครูที่โรงเรียนเรียกไปตักเตือน หรือเห็นลูกเล่นกับเพื่อนแล้วเราต้องคอยห้ามอยู่เสมอ จนเกิดคำถามขึ้นในใจว่า "ทำไมลูกเราถึงเป็นแบบนี้?" ลูกตั้งใจแกล้งเพื่อนหรือเปล่า?" หรือ "เป็นพฤติกรรมเริ่มต้นของความรุนแรงหรือเปล่า?"
ในฐานะนักกิจกรรมบำบัดที่ทำงานด้านพัฒนาการเด็ก ครูอาโปเข้าใจความกังวลนี้เป็นอย่างดีค่ะ บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปทำความเข้าใจถึงต้นตอของพฤติกรรม "ลูกเล่นแรง" ในมุมมองของระบบการรับความรู้สึก ประสาทรับความรู้สึก (Sensory Integration) พร้อมแนวทางการรับมือที่ถูกต้องและยั่งยืนค่ะ
"ลูกเล่นแรง" แค่ไหนถึงเรียกว่าแรง?
เด็กๆ แต่ละคนมีระดับพลังงานและสไตล์การเล่นที่แตกต่างกัน แต่พฤติกรรมที่เข้าข่าย "เล่นแรง" จนน่ากังวล มักมีลักษณะดังนี้ค่ะ
- ไม่รู้จักน้ำหนักมือ กอดหรือรัดเพื่อนแรงเกินไป, ตบหลังเพื่อนเสียงดัง, หยิบจับของเล่นแล้วพังเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ ตีเพื่อน
- ชอบการปะทะ วิ่งชนเพื่อน ชนสิ่งของ, ชอบกระโดดทับโซฟาหรือทับคนอื่น
- เคลื่อนไหวรุนแรงตลอดเวลา ดูซนผิดปกติ, ชอบเล่นผาดโผน, ปีนป่ายในที่ที่ไม่ควรเล่น
- ควบคุมตัวเองได้ยาก เมื่อเริ่มเล่นแรงแล้ว มักจะสนุกเกินไป หยุดตัวเองไม่ได้แม้จะถูกเตือน
- ไม่เข้าใจว่าคนอื่นเจ็บ เมื่อทำให้เพื่อนเจ็บตัว อาจไม่แสดงความรู้สึกผิด เพราะไม่เข้าใจว่าแรงของตนเองส่งผลกระทบต่อคนอื่นอย่างไร
สิ่งสำคัญที่ต้องสังเกตคือ เด็กส่วนใหญ่ที่มีพฤติกรรมนี้ ไม่ได้มีอยากรังแกใคร แต่เป็นเพราะสมองของเด็กๆ กำลัง แสวงหา (Seeking) บางอย่างอยู่ค่ะ
ผลกระทบของพฤติกรรมลูกเล่นแรงในชีวิตประจำวัน
หากพฤติกรรมการเล่นแรงไม่ได้รับการทำความเข้าใจและช่วยเหลืออย่างถูกวิธี อาจส่งผลกระทบได้ทั้งต่อตัวเด็กเองและคนรอบข้าง
- ผลกระทบต่อตนเองที่บ้าน คือ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหกล้ม ชนข้าวของในบ้าน หรือทำของเสียหาย
- ผลกระทบต่อตนเองที่โรงเรียน คือ เพื่อนไม่อยากเล่นด้วย ถูกมองว่าเป็นเด็กก้าวร้าว อาจถูกคุณครูว่าบ่อยๆ ส่งผลให้ขาดความมั่นใจและไม่อยากไปโรงเรียน
- ผลกระทบต่อผู้อื่นที่บ้าน อาจทำให้พี่น้องเจ็บตัว หรือสร้างความรำคาญใจให้คนในครอบครัว
- ผลกระทบต่อผู้อื่นที่ที่โรงเรียน อาจทำให้เพื่อนเจ็บตัว ทะเลาะกันกับเพื่อน และเป็นภาระให้คุณครูต้องคอยดูแลเป็นพิเศษ
ที่มาของปัญหา เมื่อสมอง "แสวงหา" (Seeking) การรับความรู้สึกที่มากกว่า
หัวใจสำคัญของปัญหานี้ซ่อนอยู่ในระบบสมองที่เรียกว่า "การบูรณาการประสาทความรู้สึก" (Sensory Integration หรือ SI) ซึ่งคือกระบวนการที่สมองรับข้อมูลจากประสาทสัมผัสต่างๆ (รูป, รส, กลิ่น, เสียง, สัมผัส, การทรงตัว, และกล้ามเนื้อเอ็นข้อต่อ) แล้วนำมาประมวลผลเพื่อตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสมค่ะ
ในเด็กที่เล่นแรง มักมีความต้องการการกระตุ้นใน 2 ระบบหลักมากกว่าปกติ คือ
- ระบบรับความรู้สึกทางข้อต่อและกล้ามเนื้อ (Proprioceptive System) ซึ่งเป็นระบบที่รับรู้ตำแหน่งของร่างกายผ่านกล้ามเนื้อและข้อต่อ ช่วยให้เรารู้จักน้ำหนักมือและแรงของตัวเอง เด็กที่ระบบนี้ต้องการการกระตุ้นสูง (Under-responsive) จะรู้สึก "แสวงหา" การรับรู้ร่างกายตัวเอง เด็กๆ จึงแสดงออกด้วยการ วิ่งชน กระแทก กอดรัดแรงๆ หรือชอบให้คนอื่นมากอดมาบีบตัวแรงๆ เพื่อให้สมองรับรู้ว่า "ร่างกายของชั้นอยู่ตรงนี้นะ!"
- ระบบการทรงตัว (Vestibular System) เป็นระบบที่อยู่ในหูชั้นใน คอยรับรู้การเคลื่อนไหว ทิศทาง และความสมดุลของร่างกาย เด็กที่ต้องการการกระตุ้นระบบนี้สูง จะชอบ วิ่งไปมา ปีนป่าย โยกตัว หรือหมุนตัวตลอดเวลา เพราะการเคลื่อนไหวเหล่านี้ช่วย "เติมเต็ม" ความต้องการของสมอง
ดังนั้น พฤติกรรมเล่นแรงจึงไม่ใช่ "นิสัยไม่ดี" แต่เป็น "ความพยายามของสมองที่จะเติมเต็มความต้องการทางระบบประสาท" ของตัวเองค่ะ
แก้ไขอย่างไร? เน้นการบำบัดเพื่อปรับสมอง
เมื่อเข้าใจที่มาแล้ว การแก้ไขจึงไม่ใช่การดุว่าหรือลงโทษ แต่คือการ "เติมเต็ม" ความรู้สึกที่เหมาะสมและเพียงพอให้กับสมองของเค้าค่ะ ซึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพและได้รับการยอมรับที่สุดทางการแพทย์ คือ การเข้ารับการฝึก "กิจกรรมบำบัด" (Occupational Therapy)
นักกิจกรรมบำบัดจะประเมินความต้องการทางระบบประสาทของเด็กแต่ละคน และออกแบบโปรแกรมการฝึกที่เรียกว่า "Sensory Diet" (การจัดตารางกิจกรรมเพื่อเติมเต็มประสาทรับความรู้สึก) โดยใช้กิจกรรมที่สนุกและท้าทายระบบนั้นๆ เพื่อช่วยให้สมองของเด็กสามารถบูรณาการความรู้สึกได้ดีขึ้น เช่น
กิจกรรมกระตุ้น Proprioceptive ทำโดยการนวดตัวหนักๆ, การเล่นห่อตัวด้วยผ้าห่ม (ทำเบอร์ริโต้), การเล่นชักเย่อ, การช่วยพ่อแม่ยกของหรือเข็นตะกร้า, การนวดแป้งโดว์
กิจกรรมกระตุ้น Vestibular เช่น การเล่นชิงช้า, การปีนป่ายเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น, การกระโดดบนแทรมโพลีน, การนั่งบนลูกบอลโยคะ
การทำกิจกรรมเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอภายใต้การดูแลของนักกิจกรรมบำบัด จะช่วยให้สมองของเด็กสงบลง และลดการแสวงหา การกระตุ้นที่รุนแรง ทำให้พฤติกรรมการเล่นแรงลดลง และสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นค่ะ
แนวโน้มหากไม่ได้รับการแก้ไข
หากความต้องการทางระบบประสาทเหล่านี้ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างถูกต้อง พฤติกรรมการเล่นแรงอาจต่อเนื่องและส่งผลกระทบในระยะยาว อาจนำไปสู่การวินิจฉัยภาวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกันได้ เช่น
- ภาวะสมาธิสั้น (ADHD) เด็กอาจถูกมองว่าไฮเปอร์แอคทีฟตลอดเวลา ไม่สามารถอยู่นิ่งได้
- ความบกพร่องในการประมวลผลทางประสาทสัมผัส (Sensory Processing Disorder - SPD)
- ปัญหาสังคมและอารมณ์ การถูกเพื่อนปฏิเสธบ่อยครั้งอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความภาคภูมิใจในตนเองที่ต่ำลง
พฤติกรรมลูกเล่นแรง ไม่ใช่ปัญหาด้านนิสัยหรือการเลี้ยงดูเสมอไป แต่บ่อยครั้งมีรากฐานมาจากความต้องการของ "สมอง" ที่กำลังเรียกร้องการกระตุ้นทางประสาทสัมผัส โดยเฉพาะระบบข้อต่อและกล้ามเนื้อ (Proprioceptive) การทำความเข้าใจต้นตอของปัญหาและให้การช่วยเหลือที่ถูกต้องผ่าน "กิจกรรมบำบัด" เพื่อปรับการบูรณาการประสาทความรู้สึก คือสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนได้อย่างเหมาะสม และเติบโตอย่างมีความสุขตามศักยภาพของเขาค่ะ หากคุณพ่อคุณแม่กำลังเผชิญปัญหานี้ การปรึกษานักกิจกรรมบำบัด คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดค่ะ
หากคุณพ่อ คุณแม่กังวลว่าลูกกำลังมีปัญหาระบบบูรณาการประสาทรับความรู้สึก เล่นแรง พฤติกรรมรุนแรง จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต สามารถปรึกษา Growing Smart Clinic โทร 083-806-1418 หรือ เพื่อรับคำแนะนำ นัดหมายประเมินพัฒนาการ และสามารถเริ่มต้นการฝึกกระตุ้นและส่งเสริม แก้ไขปัญหาพัฒนาการ เพื่อให้เด็กๆ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขทั้งที่บ้าน และโรงเรียน ในสังคมภายนอกค่ะ